นอกจากบัญชีเงินฝากหลัก 3 ประเภทนี้แล้วยังมีบัญชีประเภทอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น
1. บัญชีเงินฝากประจำรายเดือนแบบปลอดภาษี
เป็นบัญชีเงินฝากประจำที่ได้รับการยกเว้นภาษี แต่ต้องฝากเงินทุก ๆ เดือนเป็นจำนวนเท่ากันตลอดอายุสัญญา ซึ่งระยะเวลาอาจกำหนดไว้แตกต่างกันในแต่ละธนาคาร เช่น 24 เดือน 36 เดือนและมักกำหนดจำนวนเงินฝากขั้นต่ำไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ดังนั้น คนที่อยากเปิดบัญชีเงินฝากประเภทนี้ควรมีรายได้ประจำ และสามารถนำเงินเข้าบัญชีได้อย่างสม่ำเสมอ โดยแต่ละคนมีสิทธิเปิดบัญชีเงินฝากประเภทนี้ได้เพียงคนละ 1 บัญชีเท่านั้น ซึ่งหากเลือกเปิดบัญชีกับธนาคารใดแล้วจะเปิดกับธนาคารอื่นหรือธนาคารเดียวกันอีกไม่ได้ เรียกว่า 1 คน 1 สิทธิอย่างเท่าเทียมกัน เพราะหากสรรพากรตรวจพบว่ามีการเปิดมากกว่า 1 บัญชี เราจะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีดังกล่าวเลย ดังนั้น จึงควรเลือกเปิดบัญชีกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง และข้อสำคัญต้องคำนึงถึงความสะดวกในการนำเงินเข้าบัญชีด้วย เพราะถ้าขาดฝากเกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ไม่เกิน 2 ครั้ง ก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยตามที่ธนาคารประกาศ หรือได้รับเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ หรืออาจต้องเสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ ซึ่งเงื่อนไขของแต่ละธนาคารจะแตกต่างกัน จึงควรศึกษาเงื่อนไขอย่างรอบคอบเพื่อจะได้ไม่เสียสิทธิที่พึงจะได้รับจากการฝากเงินประเภทนี้
2. บัญชีเงินฝากแบบขั้นบันได (step-up account)
บัญชีเงินฝากแบบขั้นบันไดจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันเป็นช่วง ๆ เช่น ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนขั้นบันไดและโฆษณาจูงใจว่าได้รับผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยสูงแต่มักเป็นเพียงช่วงเดือนสุดท้ายเท่านั้น (สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อดอกเบี้ยเงินฝากแบบขั้นบันได) หากคิดจะฝากต้องดูที่อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงต่อปีของทั้งโครงการ ซึ่งสถาบันการเงินต้องแจ้งให้เราทราบด้วยเพราะข้อมูลและการเปรียบเทียบดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่แท้จริงต่อปีของทั้งโครงการของแต่ละธนาคารที่มีบริการบัญชีประเภทนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเลือกฝากเงินของเราที่ตรงกับความต้องการของเราได้
3. บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ
เป็นบัญชีเงินฝากที่เหมาะกับผู้ที่มีรายรับหรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศ สามารถใช้เงินในบัญชีมาทำธุรกรรมทางการเงินได้เลยโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินบ่อย ๆ ซึ่งลูกค้าสามารถเปิดได้ทั้งบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ และเงินฝากกระแสรายวัน โดยดอกเบี้ยรับที่ได้จะต้องเสียภาษีด้วย
อย่างไรก็ตาม การฝากเงินเป็นเงินตราต่างประเทศจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และค่าบริการในการทำธุรกรรมสำหรับบัญชีประเภทนี้อาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่ได้รับ คุณสามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศได้ที่หัวข้อ
บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ
ต้องรู้อะไร...เมื่อไปฝากเงิน
1. อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่แท้จริง
ในการเลือกเปิดบัญชีเงินฝากไม่ว่าจะเป็นประเภทใด สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาและเปรียบเทียบคือดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่จะได้รับ ซึ่งสถาบันการเงินต้องเปิดเผยเงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ยให้เราทราบ เช่น วิธีการคำนวณดอกเบี้ย ความถี่ในการจ่าย จำนวนวันต่อปีที่ใช้ในการคิดดอกเบี้ย ซึ่งต้องปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ ที่ทำการทุกแห่ง และเผยแพร่ในเว็บไซต์ด้วย และอย่าลืมสังเกตวันที่อัตราดอกเบี้ยมีผลบังคับใช้ด้วยซึ่งหากต้องการข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากเปรียบเทียบสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของแบงก์ชาติ
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกฝากเงินในบัญชีประเภทใดหรือธนาคารใด นอกจากผู้ฝากเงินต้องเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของประเภทบัญชีแต่ละประเภทและแต่ละธนาคารแล้ว ก็ต้องคำนึงถึงภาษีหัก ณ ที่จ่าย ด้วย เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงที่เราจะได้รับลดลงไป ตัวอย่างบัญชีเงินฝากที่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ บัญชีเงินฝากประจำ ซึ่งเมื่อเราได้รับดอกเบี้ยเราก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยรับ
นอกจากนี้ หลายคนอาจเข้าใจว่าดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝากออมทรัพย์รวมกันทุกบัญชีจากธนาคารเดียวกันเกิน 20,000 บาทในปีภาษีนั้น เราก็จะถูกธนาคารหักภาษี ณ ที่จ่ายเช่นกัน แต่ถ้าได้รับดอกเบี้ยจากธนาคารหลาย ๆ แห่งรวมกันเกิน 20,000 บาทในปีภาษีนั้น ผู้ฝากมีหน้าที่ต้องแจ้งแก่ธนาคารเพื่อให้ธนาคารหักภาษี ณ ที่จ่าย (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ
ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์)
3. ค่าธรรมเนียมและเบี้ยปรับ
การฝากเงินและทำธุรกรรมผ่านบัญชีเงินฝากอาจมีค่าธรรมเนียม ทั้งค่าธรรมเนียมปกติหรือเบี้ยปรับหากคุณไม่ทำตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น
-
-
- ค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีเงินฝาก ที่คุณจะถูกเรียกเก็บโดยหักเงินออกจากบัญชีของคุณหากจำนวนเงินในบัญชีมียอดต่ำกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งก่อนที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประเภทนี้ธนาคารจะมีหนังสือแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยต้องแจ้งยอดเงินคงเหลือ เงื่อนไข และอัตราค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บ ซึ่งคุณจะมีเวลาในการจัดการกับบัญชีของตัวเอง โดยอาจปิดบัญชีหรือนำเงินไปฝากเพิ่มเพื่อให้บัญชีเคลื่อนไหวหรือมีเงินอยู่ในบัญชีตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารกำหนด -
-
- ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต เช่น ค่าทำบัตรใหม่ ค่าบริการรายปี รวมทั้งค่าธรรมเนียมการทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็ม ไม่ว่าจะเป็นการถอนหรือโอนข้ามเขต ต่างธนาคาร ต่างประเทศ รวมทั้งค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้นหากถอนเกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนด
-
-
- ค่าธรรมเนียมและเบี้ยปรับอื่น ๆ เช่น การรับฝากเหรียญกษาปณ์ การโอนเงินอัตโนมัติ การขอ statement ย้อนหลัง การขอตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีเงินฝากที่เกิดจากการทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็ม
การปิดบัญชีหรือถอนก่อนครบกำหนด และอื่น ๆ
ทั้งนี้ ธนาคารต้องเผยแพร่ข้อมูลค่าธรรมเนียมและเบี้ยปรับต่าง ๆ ไว้ในที่เปิดเผยสังเกตเห็นง่ายไว้ที่ทำการทุกแห่ง รวมทั้งในเว็บไซต์ของธนาคารเอง หรือหากต้องการเปรียบเทียบข้อมูลค่าธรรมเนียมของแต่ละธนาคาร ก็สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของแบงก์ชาติ
4. เงื่อนไขการคุ้มครองเงินฝาก
หากคุณออมเงินในรูปของบัญชีเงินฝาก บัตรเงินฝาก และใบรับฝากเงินที่เป็นเงินบาท และฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์เงินในบัญชีของคุณจะได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(Deposit Protection Agency: DPA) โดยจำนวนเงินฝาก (รวมดอกเบี้ย) จะได้รับการคุ้มครองตามเกณฑ์ที่กำหนดดังนี้
ที่มาภาพ: สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
หมายเหตุ: จำนวนเงินฝากที่เกินความคุ้มครองจะได้รับเงินคืนเพิ่มเติมจากการชำระบัญชีจากสถาบันการเงินที่ปิดกิจการเงินฝากที่ DPA ไม่คุ้มครอง เช่น เงินฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศ เงินฝากที่มีอนุพันธ์แฝง เงินฝากในสหกรณ์ เงินฝากในบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน รวมทั้งเงินฝากที่อยู่กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีการกำกับดูแลภายใต้กฎหมายเฉพาะ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภทที่บางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเงินฝาก เช่น ตั๋วแลกเงิน (หรือที่รู้จักกันว่า BE) ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ เงินลงทุนในกองทุนรวม พันธบัตร เช็ค ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองจาก DPA เช่นกัน ข้อมูลเพิ่มเติม:
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
5. การแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่
หากเปลี่ยนแปลงที่อยู่ต้องแจ้งให้ธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่ทราบด้วย เพราะหากธนาคารเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น แจ้งบัญชีเงินฝากไม่เคลื่อนไหวก่อนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรักษาบัญชี หรือแจ้งให้ลูกค้าทราบสถานะทางบัญชีเนื่องจากขาดการติดต่อเป็นระยะเวลานาน ธนาคารจะแจ้งเป็นจดหมายลงทะเบียนให้ลูกค้าหรือทายาทเพียง 2 ครั้ง และจะใช้ที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งตอนเปิดบัญชี หรือที่อยู่ที่ได้แจ้งไว้อย่างเป็นทางการเท่านั้น ไม่ว่าจะติดต่อได้หรือไม่ได้ก็ตาม จะถือว่าสถาบันการเงินได้แจ้งให้ลูกค้าทราบแล้ว
ดังนั้น หากเปลี่ยนแปลงที่อยู่และสถาบันการเงินไม่สามารถติดต่อได้ก็อาจทำให้เราไม่ทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่สำคัญ หรือไม่สามารถดำเนินการกับบัญชีของตัวเองได้ภายในเวลาที่ธนาคารกำหนด ซึ่งอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรืออาจเกิดความเสียหายอื่น ๆ ได้
6. โทษตามกฎหมายสำหรับการรับจ้างเปิดบัญชี

การรับจ้างเปิดบัญชีเพื่อหวังค่าตอบแทนอาจนำภัยมาสู่ผู้รับจ้างอย่างคาดไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้ว่าจ้างคือกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น เงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด การหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แชร์ลูกโซ่ บ่อนการพนัน และอื่น ๆ มาผ่านบัญชีของผู้รับจ้างซึ่งถูกใช้เป็นบัญชีผู้รับโอนเงินต้นทาง ก่อนที่จะให้ผู้รับจ้างโอนเงินต่อไปยังบัญชีอื่น หรือให้ผู้อื่นใช้บัตรเอทีเอ็มที่เชื่อมโยงกับบัญชีนั้นไปกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็มเพื่อโยกย้ายเงินออกจากบัญชีของผู้รับจ้าง ซึ่งการโยกย้ายเงินออกจากบัญชีในลักษณะเช่นนี้จะทำให้ยากต่อการตรวจสอบและการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่
การรับจ้างเปิดบัญชีหรือการหลอกให้ผู้อื่นโอนเงินให้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทหรือสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น การเห็นแก่ค่าจ้างเพียงไม่กี่บาทจึงอาจทำให้คุณต้องตกเป็นผู้ต้องหาและไปใช้ชีวิตในเรือนจำได้ จึงไม่ควรหลงเชื่อหรือรับจ้างเปิดบัญชีโดยเด็ดขาด
ในกรณีที่ได้รับจ้างเปิดบัญชีและได้มอบสมุดคู่ฝากและบัตรเอทีเอ็มให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ให้รีบติดต่อไปยังธนาคารเจ้าของบัญชีโดยด่วน เพื่อสอบถามถึงวิธีปฏิบัติในการขอปิดบัญชีและยกเลิกการใช้บัตรเอทีเอ็ม ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้รับจ้างไปแจ้งความก่อน แล้วจึงนำบัตรประจำตัวประชาชนเข้าไปติดต่อยังสาขาที่เปิดบัญชี นอกจากนั้น หากพบเห็นข้อมูลเกี่ยวกับการว่าจ้างเปิดบัญชีควรแจ้งเบาะแสไปยังตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทางการ และมีส่วนช่วยยับยั้งมิให้กลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน และก่ออาชญากรรมทางการเงินได้
สิทธิหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
สิทธิในการเลือกที่จะทำบัตรเอทีเอ็ม/บัตรเดบิต หรือปฏิเสธเมื่อไม่ต้องการใช้
เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากเจ้าหน้าที่ธนาคารมักจะแนะนำให้ลูกค้าทำบัตรเอทีเอ็มหรือ
บัตรเดบิต โดยความแตกต่างระหว่างบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มคือ บัตรเดบิตนอกจากจะใช้ในการฝาก ถอน โอนเงินจากบัญชีได้เหมือนบัตรเอทีเอ็มแล้วยังสามารถรูดซื้อสินค้าได้อีกด้วย หรือเจ้าหน้าที่ธนาคารบางแห่งอาจแนะนำให้ทำบัตรเดบิตที่พ่วงมากับประกันชีวิตและ/หรือประกันอุบัติเหตุ ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมในการทำบัตรที่แพงกว่าบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตแบบปกติ ถ้าเราต้องการบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตแบบปกติที่ไม่พ่วงประกันก็สามารถเลือกได้ หรือหากไม่อยากทำบัตรประเภทใดเลยก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้ และหากรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำบัตรดังกล่าวก็สามารถร้องเรียนได้ที่ call center ของธนาคารนั้น ๆ หรือที่ ศคง. โทร. 1213
อย่างไรก็ตาม การมีบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตก็ช่วยเพิ่มความสะดวกในการถอนเงินหรือโอนเงินจากบัญชีผ่านตู้เอทีเอ็ม เพราะทำให้เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคาร หรือการมีประกันก็ช่วยผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของเราหากเกิดเหตุขึ้นได้ ซึ่งหากสนใจจะใช้บัตรก็ควรทำความเข้าใจในข้อตกลง เงื่อนไขการให้บริการ รวมทั้งค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บก่อนตัดสินใจเลือกเพื่อให้ได้บัตรที่มีความเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของเรามากที่สุดด้วย ซึ่งเราสามารถอ่านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้บริการทางการเงินได้ที่หัวข้อ
สิทธิของผู้ใช้บริการทางการเงิน
สิทธิในการหักเงินในบัญชีเงินฝากเพื่อชำระหนี้
ธนาคารอาจใช้สิทธิในการหักเงินในบัญชีของเราเพื่อชำระหนี้ที่เรามีอยู่กับธนาคารได้โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า หากได้ลงนามในข้อตกลงยินยอมให้ธนาคารหักเงินในบัญชีเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่ ซึ่งข้อตกลงนี้มักจะอยู่ในข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการเงินฝากที่ได้ลงนามยินยอมรับข้อตกลงนั้นแล้วตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีเงินฝาก หรือในเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต ดังนั้น หากค้างชำระหนี้ ธนาคารจะหักเงินจากบัญชีของเราเพื่อชำระหนี้นั้นได้โดยไม่ต้องแจ้งอีก