Internet Payment คืออะไร
Internet Payment เป็นการชำระค่าสินค้าและบริการหรือโอนเงินผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้บริการสามารถเลือกชำระค่าสินค้าและบริการได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
 |
การตัดบัญชีเงินฝากผ่านบริการ Internet Banking ของธนาคาร (ลักษณะเดียวกับการโอนเงิน) ซึ่งมีการเชื่อมโยงไว้กับเว็บไซต์ของร้านค้า |
 |
การชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
|
 |
การชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ซึ่งได้เปิดบัญชีไว้กับผู้ให้บริการ e-Money ผ่านเว็บไซต์ และเติมเงินเข้าบัญชีให้เพียงพอ
เข้าสู่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการ e-Money เลือกรายการส่งเงินให้ร้านค้า และใส่ข้อมูลอีเมล ร้านค้าผู้รับเงิน จำนวนเงิน ประเภทการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ชำระ แล้วรอระบบยืนยันการทำรายการสำเร็จ หลังจากนั้น ผู้ซื้อ/ร้านค้าผู้รับเงินจะได้รับอีเมลหรือ SMS เตือนการรับเงิน โดยเงินจะถูกโอนเข้าบัญชี e-Money ของร้านค้า
ในกรณีเว็บไซต์ของร้านค้ามีบริการชำระเงิน เมื่อผู้ซื้อจะชำระเงินค่าสินค้า จะต้องตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏ เช่น ชื่อร้านค้าผู้รับเงิน ชื่อสินค้า จำนวนเงิน ค่าธรรมเนียม ก่อนจะยืนยันการทำรายการด้วยการเลือกช่องทางการชำระเงิน และกรอกข้อมูลอีเมล ร้านค้าผู้รับเงิน และรหัสผ่านของผู้ซื้อที่ผูกไว้กับระบบของผู้ให้บริการ e-Money
|
ข้อดีของการใช้บริการ Internet Payment
-
เพิ่มความสะดวกสบายและเพิ่มช่องทางในการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ให้กับร้านค้าและผู้ซื้อสินค้า
-
ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมการชำระเงิน
-
ใช้บริการที่ไหนก็ได้ที่สามารถใช้ระบบอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง
-
มีบริการเสริมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น สรุปยอดบัญชีคงเหลือ แสดงรายการเดินบัญชีปัจจุบัน/ประวัติการทำรายการย้อนหลัง ใบแจ้งยอดชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill)
ข้อควรระวังในการใช้บริการ Internet Payment
-
ต้องเลือกซื้อจากร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการทุจริต และเลือกช่องทางการชำระเงินที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งไม่ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะในการทำรายการชำระค่าสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต
-
การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของทั้งร้านค้าออนไลน์และผู้ให้บริการชำระเงิน ร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้จะได้รับใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยการเข้ารหัสก่อนส่งทุกครั้ง โดยมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยของการส่งผ่านข้อมูลแบบ SSL (Secure Socket Layer) ซึ่งแสดงว่าเว็บไซต์นี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน หรือร้านค้าออนไลน์บางแห่งอาจมีการใช้ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ด้วย
-
การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/บัตรเดบิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อใช้ Verified by Visa (VBV), Master Card Secure Code (MCSC) และ JCB J/Secure
-
ควรศึกษารูปแบบธุรกรรมและวิธีการรักษาความปลอดภัยที่ธนาคารเสนอให้บริการ Internet Banking ก่อนตัดสินใจใช้บริการ และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
-
หลีกเลี่ยงการตั้ง Password ที่ง่ายต่อการคาดเดา และไม่บอก User ID และ Password แก่ผู้อื่น พร้อมทั้งเปลี่ยน Password เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
-
หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ใด ๆ ที่แนบมาพร้อมกับอีเมล โดยให้พิมพ์ Address ของ Website ของสถาบันผู้ออกบัตรด้วยตนเอง เมื่อต้องการเข้าใช้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
-
อย่าหลงเชื่อตอบหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น Username, Password, ATM PIN และหมายเลขบัตรเครดิต/บัตรเดบิต ไม่ว่าจะถามทางอีเมล โทรศัพท์ โทรสาร หรือจดหมาย ก็ตาม อย่าลืมว่าสถาบันผู้ออกบัตรมีข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว และระลึกไว้เสมอว่าผู้ถามอาจจะเป็นมิจฉาชีพ
-
ควรตรวจสอบความถูกต้องของรายการธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ เช่น จำนวนเงิน วันที่ทำรายการ เลขที่บัญชี และตรวจสอบยอดเงินในบัญชี เพื่อป้องกันรายการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
-
ควรติดตั้งและปรับปรุงโปรแกรมเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และ/หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรมให้ทันสมัย เช่น โปรแกรม Scan Virus และโปรแกรม Personal Firewall
-
ไม่ควรดาวน์โหลด ติดตั้งโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือ โปรแกรมที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และกรณีไม่ได้ใช้งานควรปิด Bluetooth และ Wireless
-
ทุกครั้งที่ใช้บริการเสร็จ ควรคลิก "ออกจากระบบ" (Log off, Log out, Sign off) ทันที เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นสามารถทำรายการจากบัญชีของท่านได้
-
หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรติดต่อธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทที่ท่านใช้บริการโดยเร็ว
-
ควรแจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่เป็นปัจจุบันให้ธนาคารพาณิชย์ทราบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบริการ Internet Banking จะต้องรับ SMS แจ้ง OTP เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนผู้ทำรายการที่แท้จริง
ขั้นตอนการใช้บริการธนาคารออนไลน์
1. ชำระโดยการตัดบัญชีเงินฝากผ่าน Internet Banking ซึ่งมีการเชื่อมโยงไว้กับเว็บไซต์ของร้านค้า
2. ชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
3. ชำระผ่านเว็บไซต์ของร้านค้าออนไลน์ ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
คำถามถามบ่อย
 |
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการชำระค่าสินค้าและบริการที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตมีความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ร้านค้าไม่เห็นตัวผู้ซื้อหรือบัตรเลย |
 | การซื้อของผ่านเว็บไซต์ ผู้ซื้อจะต้องกรอกหมายเลขบัตรเครดิต/บัตรเดบิต รวมทั้งหมายเลข CVV (Card Verification Value) เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริง โดย CVV ของบัตร Visa และ Master Card เป็นเลข 3 หลักสุดท้ายที่พิมพ์อยู่ด้านหลังของบัตร ส่วนของบัตร American Express เป็นเลข 4 หลักที่อยู่ด้านหน้าของบัตรทางด้านขวาเหนือหมายเลขบัตร
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการรับบัตรบางรายอาจมีขั้นตอนตรวจสอบอื่น ๆ เพื่อยืนยันว่าผู้ถือบัตรเป็นผู้ทำรายการจริง เช่น Verified by VISA, MasterCard SecureCode, J/Secure รวมไปถึงกรณีสถาบันผู้ออกบัตรอาจโทรมาสอบถามเมื่อมีการใช้จ่ายยอดเงินสูง |
 |
Verified by Visa (VBV), MasterCard SecureCode (MCSC) และ JCB J/Secure คืออะไร ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ และขั้นตอนการสมัครใช้บริการ |
 | (1) Verified by Visa (VBV), MasterCard SecureCode (MCSC) และ JCB J/Secure เป็นการใช้ “รหัสผ่าน” ของระบบ VISA/MasterCard/JCB ซึ่งอาจอยู่ในรูป PIN หรือรูป OTP ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้ครั้งเดียวโดยรับ SMS ทางโทรศัพท์มือถือที่แจ้งเบอร์ไว้ (ขึ้นอยู่กับประเภทของบัตร) และใช้ร่วมกับ “ข้อความยืนยันส่วนตัว” ที่ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดตอนสมัครใช้บริการ หรือขอเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการชำระด้วยบัตรเดบิต/บัตรเครดิต ไม่ให้ผู้อื่นใช้แค่หมายเลขบัตรในการทำรายการ และมั่นใจได้ว่าร้านค้าออนไลน์ที่ทำรายการอยู่นั้นได้มีการลงทะเบียนกับระบบแล้ว (ในเว็บไซต์ของร้านค้าจะมีสัญลักษณ์ดังกล่าว)
(2) ขั้นตอนการสมัครใช้บริการ ในครั้งแรกให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของสถาบันผู้ออกบัตร หรือหากนำบัตรเครดิตที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนไปใช้ชำระให้ร้านค้าออนไลน์ ระบบก็จะปรากฏหน้าจอให้ลงทะเบียนโดยอัตโนมัติ โดยขั้นที่ 1 กรอกข้อมูลวันเดือนปีเกิด วันที่บัตรหมดอายุ วงเงินของบัตร หมายเลขบัตรประชาชน และขั้นที่ 2 กำหนด “ข้อความยืนยันส่วนตัว” และ “รหัสผ่าน” และเมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว เจ้าของบัตรสามารถนำ “รหัสผ่าน” และ “ข้อความยืนยันส่วนตัว” ที่ตนเป็นผู้กำหนด ไปทำรายการชำระเงินให้ร้านค้าออนไลน์ได้ทันที
ตัวอย่างการสมัคร Verified by Visa
ในขั้นตอนการชำระเงิน เมื่อผู้ซื้อกรอกข้อมูลบัตรเครดิตแล้ว ก็จะต้องตรวจสอบความถูกต้องของ “ข้อความยืนยันส่วนตัว” (ตามที่ลงทะเบียนไว้) และตรวจสอบว่าเป็นเว็บไซต์ของสถาบันผู้ออกบัตรจริง โดยการคลิกที่สัญลักษณ์ “รูปแม่กุญแจ” ที่มุมขวาล่างของ browser เมื่อพบว่าถูกต้องทั้งหมดแล้ว จึงค่อยกรอก “รหัสผ่าน” ของระบบ VISA/MasterCard/JCB เพื่อทำรายการชำระเงิน
|
 |
ใช้ Verified by VISA, MasterCard SecureCode และ JCB J/Secure อย่างไรให้ปลอดภัย |
ค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ Internet Banking
เรื่องที่น่าสนใจ