คือการชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิต (บริษัทฯ) จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต
การทำประกันชีวิตมีประโยชน์หลายประการ เช่น
1. ให้ความคุ้มครอง ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องการเงินหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นของครอบครัว (เช่น หนี้สิน) อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย
2. ประกันภัยบางประเภทเป็นการออมทรัพย์ การทำประกันภัยจะเป็นในลักษณะแบบกึ่งบังคับ ให้จ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอ และหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนครบตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้ ก็จะได้เงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญา ใช้เป็นเครื่องมือออมเงินเพื่อเกษียณ ออมเพื่อทุนการศึกษาของบุตรหลาน
3. ใช้เบี้ยประกันชีวิตมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท
1. ความรู้เบื้องต้น
ผู้เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันชีวิต ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่
1. ผู้รับประกันภัย
คือบริษัทประกันชีวิต ซึ่งหมายถึงบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต เพื่อรับประกันต่อความสูญเสียหรือความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยสัญญาว่าจะจ่ายชดเชยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ การประกันกรณีทุพพลภาพ หรือการประกันสุขภาพ
(ดูรายชื่อบริษัท)
2. ผู้เอาประกันภัย
คือบุคคลที่ตกลงทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทฯ โดยอาศัยสาเหตุของการมีชีวิตหรือการตายเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินประกันชีวิต
3. ผู้รับประโยชน์
คือบุคคลที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตว่าจะเป็นผู้รับเงินประกันชีวิตตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต
ประเภทของการประกันชีวิต
การประกันชีวิต แยกออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. ประเภทสามัญ (Ordinary Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูงตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ
2. ประเภทอุตสาหกรรม (Industrial Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ ตั้งแต่ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ดังนั้น จึงมีระยะเวลารอคอยคือระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลารอคอย บริษัทฯ จะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
3. ประเภทกลุ่ม (Group Life Insurance)
คือการประกันชีวิตบุคคลหลายคนภายใต้กรมธรรม์ฉบับเดียว ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันภัยอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทฯ การประกันชีวิตประเภทนี้ ค่าเบี้ยประกันภัยจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
เมื่อพิจารณาจากลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ แบบการประกันชีวิตพื้นฐานมีอยู่ 4 แบบคือ
แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
คือการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ วัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ หรือใช้สำหรับชำระหนี้ก้อนสุดท้าย
แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาเอาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ และไม่มีเงินคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่น ๆ
แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาเอาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ซึ่งส่วนของการออมทรัพย์คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
ความแตกต่างระหว่างประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์กับการฝากเงินกับสถาบันการเงิน
ข้อเปรียบเทียบ | เงินฝาก | ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ |
วัตถุประสงค์ | การออมทรัพย์ | คุ้มครองชีวิต (และอื่น ๆ) และออมทรัพย์ |
ผลตอบแทนเมื่อสัญญาสิ้นสุด | เงินฝากและดอกเบี้ย | - กรณีมีชีวิต (เงินจ่ายคืน/เงินปันผล) - กรณีเสียชีวิต (เงินผลประโยชน์มรณกรรมหรือจำนวนเงินเอาประกันภัย) |
ลดหย่อนภาษี | ลดหย่อนภาษีไม่ได้ | - ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
|
ภาษีจากผลตอบแทน | 15% (กรณีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 20,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี) | ไม่ต้องเสียภาษี |
การฝาก/การจ่ายเบี้ยประกันภัย | ไม่ต้องฝากสม่ำเสมอ | จ่ายเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียวหรือแบบรายงวด |
การถอน | ถอนได้ | ถอนไม่ได้ แต่ต้องยกเลิกกรมธรรม์ (การเวนคืนกรมธรรม์) แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้ว |
สภาพคล่อง | สูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย | ต่ำ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืน แต่จะได้รับเงินคืนไม่เต็มจำนวนตามเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายชำระไปแล้ว |
ความคุ้มครอง | ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนด | ไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันคุ้มครองเงินฝาก |
แบบบำนาญ (Annuities Insurance)
คือการประกันชีวิตที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือนหรือทุกปี นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไป สำหรับกำหนดเวลาการเริ่มจ่ายเงินบำนาญและระยะเวลาการจ่ายเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันภัยควรพิจารณาเลือกแบบบำนาญให้ตรงกับแผนการใช้เงินในอนาคตของตน
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์แตกต่างกับการฝากเงินกับสถาบันเงินในเรื่องการถอนเงิน เนื่องจากการออมด้วยการซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไม่สามารถถอนเงินได้เหมือนการฝากเงินได้ แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สามารถเวนคืนกรมธรรม์ได้ ซึ่งมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ที่ได้จะถูกหักค่าธรรมเนียมในการเวนคืน
2. การพิจารณารูปแบบประกันชีวิต
ก่อนจะทำประกันชีวิต ผู้บริโภคต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิต ระยะเวลาคุ้มครอง จำนวนเงินเอาประกันภัย และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัยก่อน เช่น
ความต้องการ |
แบบประกันภัยที่เหมาะสม |
-
คุ้มครองการเสียชีวิต
-
ความคุ้มครองระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 10 15 หรือ 20 ปี
-
ไม่มีเงินคืน
-
เบี้ยประกันภัยต่ำที่สุด
| แบบชั่วระยะเวลา |
-
คุ้มครองการเสียชีวิตพร้อมกับการสะสมทรัพย์
-
ความคุ้มครองระยะยาว เช่น 10 หรือ 20 ปี
-
มีเงินคืนหรือเงินปันผล
-
เบี้ยประกันภัยสูง
| แบบสะสมทรัพย์ |
-
คุ้มครองการเสียชีวิต
-
ความคุ้มครองแบบตลอดชีพ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี 99 ปี
-
เบี้ยประกันภัยค่อนข้างต่ำ
-
มีเงินคืน
| แบบตลอดชีพ |
-
คุ้มครองการมีชีวิตยืนยาว
-
มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ
-
มีเงินคืนเมื่อเกษียณอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี
-
เบี้ยประกันภัยสูง
| แบบบำนาญ
|
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ช่วงชีวิตก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้เอาประกันภัยควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น
ช่วงเริ่มต้นทำงาน : ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ช่วงสร้างครอบครัว เริ่มมีบุตร มีการผ่อนรถ/บ้าน ค่าเล่าเรียนบุตร : ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ก่อนเกษียณ : ประกันชีวิตแบบบำนาญ
3. คำแนะนำในการเลือกและทำสัญญาประกันชีวิต มีดังนี้
1. ติดต่อบริษัทฯ โดยตรงหรือผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันชีวิต |
2. ศึกษาแบบประกันชีวิตต่าง ๆ เพื่อเลือกแบบประกันชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ โดยพิจารณาจากความเสี่ยงของตนเอง |
3. เลือกวงเงินเอาประกันภัยที่ต้องการและเหมาะสม โดยควรคำนึงถึงรายได้ประจำที่ได้รับ และความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย |
4. กรอกรายละเอียดในแบบคำขอเอาประกันชีวิต โดยแถลงความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติการรักษาพยาบาลและคำแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ เพราะการปิดบังในสาระสำคัญเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์
5. ตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงชื่อในแบบคำขอ และเมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง หากพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชื่อผู้รับประโยชน์หรือชื่อผู้เอาประกันภัยผิดพลาด ให้ทักท้วงบริษัทฯ เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง
6. จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนด และเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง และถ้าจ่ายเบี้ยประกันชีวิตผ่านตัวแทน ต้องเรียกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเสมอ
7. แจ้งให้ผู้รับประโยชน์ตามที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ หรือบุคคลในครอบครัวทราบถึงการทำประกันชีวิต และสถานที่เก็บกรมธรรม์
8. เก็บรักษากรมธรรม์ให้ดี ถ้าหายต้องไปแจ้งความและขอทำใหม่ ซึ่งจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมด้วย |
4. การชำระเบี้ยประกันชีวิต
ประเภทการชำระเบี้ยประกันชีวิต ได้แก่
1. ชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว (single premium) |
2. ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด (level premium) ซึ่งระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยอาจสั้นกว่าระยะเวลาความคุ้มครอง เช่น ระยะเวลาความคุ้มครอง 10 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 5 ปี และสามารถกำหนดงวดการจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือนหรือรายเดือนก็ได้ |
ปัจจัยในการคำนวณเบี้ยประกันชีวิต จะพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ
1. อัตรามรณะ คืออัตราเสียชีวิตของผู้เอาประกันภัย แยกตามเพศ อายุ |
2. อัตราดอกเบี้ย ที่บริษัทฯ กำหนดใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันชีวิต
3.
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เมื่อถึงกำหนดชำระเบี้ยประกันชีวิต ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันได้ โดยการยืดระยะเวลาได้ประมาณ 30 หรือ 60 วัน แล้วแต่เงื่อนไขของกรมธรรม์นั้น
- 5. เงื่อนไขการยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนด
ผู้เอาประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ ดังนี้
1. กรณีบอกเลิกสัญญาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ (free look period) ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเบี้ยประกันภัยคืนตามที่จ่ายจริง หักด้วยค่าธรรมเนียม 500 บาท และค่าตรวจสุขภาพ (ถ้ามี) ถ้าเป็นการขายผ่านทางโทรศัพท์ สามารถยกเลิกได้ภายใน 30 วัน ผู้เอาประกันจะได้รับเบี้ยประกันภัยคืนเต็มจำนวน | 2. กรณีบอกเลิกสัญญาหลังจากเกินระยะเวลา free look period และกรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์แล้ว ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ (มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์) ซึ่งมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์คำนวณมาจากเบี้ยประกันภัยหักด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของบริษัทฯ โดยในช่วงปีแรก ๆ มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์จะมีค่าน้อยเพราะค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ที่นำมาหักจากเบี้ยประกันภัยมีจำนวนสูง อนึ่ง กรมธรรม์บางแบบอาจจะยังไม่มีมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ในช่วงสิ้นปีที่ 1 | ทั้งนี้ หากผู้เอาประกันภัยถูกชักจูงให้ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตด้วยความเข้าใจผิด ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิขอยกเลิกสัญญาและได้รับเบี้ยประกันภัยคืนตามเงื่อนไขที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ กรณีที่ผู้เอาประกันภัยประสบปัญหาทางด้านการเงินแต่ยังประสงค์จะได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันชีวิต สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
1. เลือกชำระเบี้ยประกันภัยลดลง : ทำได้ 2 วิธีคือ
(1) ลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลง โดยกรมธรรม์ยังคงให้ความคุ้มครองตามการประกันชีวิตแบบเดิม หรือ (2) ยกเลิกสัญญาเพิ่มเติม | 2. เลือกหยุดชำระเบี้ยประกันภัย : ทำได้ 2 วิธีคือ |
(1) เปลี่ยนกรมธรรม์เป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ โดยการลดจำนวนเงินเอาประกันภัยลงแต่กรมธรรม์ยังคงมีผลคุ้มครองต่อไปจนกว่าสัญญาจะครบกำหนด หรือ
(2) แปลงกรมธรรม์เป็นการประกันภัยแบบขยายเวลา โดยจำนวนเงินเอาประกันภัยจะยังคงมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินเอาประกันภัยเดิม แต่ระยะเวลาคุ้มครองลดลง
6. วิธีรับเงินครบกำหนด หรือค่าสินไหมทดแทน หรือการเคลมประกันในการขอรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ให้ดำเนินการดังนี้1. ติดต่อกับบริษัทฯ ให้เร็วที่สุด 2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ต้องแจ้งบริษัทฯ ภายใน 14 วัน และเตรียมหลักฐานคือกรมธรรม์ประกันชีวิต (ถ้าหายให้แจ้งความ แล้วใช้สำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายไปแสดงแทน) ใบเสร็จรับเงินงวดสุดท้าย ใบมรณบัตรของผู้เอาประกันภัย ทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนของผู้รับประโยชน์ ทั้งนี้ การเสียชีวิตโดยฆ่าตัวตายใช้หลักฐานเพิ่มเติมคือสำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และใบชันสูตรพลิกศพ ส่วนการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุใช้หลักฐานเพิ่มเติมคือสำเนาบันทึกประจำวันรับแจ้งเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใบชันสูตรพลิกศพ และสำเนาบันทึกประจำวันหลังกลับจากสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3. กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ และสูญเสียอวัยวะ ต้องแจ้งบริษัทฯ ภายใน 10 วันและเตรียมหลักฐานคือแบบฟอร์มใบเรียกร้องค่าทดแทน ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่ระบุวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาล หลักฐานอื่น ๆ เช่น ฟิล์มเอกซเรย์ 4. กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด ต้องติดต่อบริษัทฯ และเตรียมหลักฐานคือกรมธรรม์ประกันชีวิต และบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย โดยบริษัทฯ อาจจ่ายเงินเป็นเช็ค หรือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เอาประกันภัย หรือจ่ายเป็นเงินสด
7. การยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันภัยบริษัทฯ ยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันภัยจากสาเหตุการตายดังนี้
1. ผู้รับประโยชน์ฆ่าผู้เอาประกันภัยตายโดยเจตนา บริษัทฯ จะไม่จ่ายผลประโยชน์ให้แก่ผู้รับประโยชน์ที่เป็นคนฆ่า แต่จะจ่ายค่าเวนคืนกรมธรรม์ (หักด้วยหนี้สินกรมธรรม์ ถ้ามี) หรือคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระมาแล้วทั้งหมดให้แก่ผู้รับประโยชน์คนอื่น ๆ ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ | 2. ผู้เอาประกันภัยฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีนับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย บริษัท ฯ จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ชำระมาแล้วทั้งหมด |
|